PPE & Equipment

วิธีเลือกอุปกรณ์ PPE ให้เหมาะกับงานแต่ละประเภท

วิธีเลือกอุปกรณ์ PPE ให้เหมาะกับงานแต่ละประเภท ตั้งแต่การเลือกถุงมือไปจนถึงรองเท้านิรภัย เพื่อให้เหมาะกับลักษณะของงาน

ในอุตสาหกรรมการผลิต การก่อสร้าง หรือแม้แต่ในธุรกิจบริการบางประเภท “อุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล” หรือที่เรียกย่อ ๆ ว่า PPE (Personal Protective Equipment) ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บและอุบัติเหตุในที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้ PPE ที่เหมาะสมกับงานแต่ละประเภทจึงเป็นเรื่องที่ผู้ปฏิบัติงานและนายจ้างไม่ควรละเลย บทความนี้จะนำเสนอเคล็ดลับและคำแนะนำในการเลือกอุปกรณ์ PPE ตั้งแต่ถุงมือ หมวกนิรภัย แว่นตานิรภัย ชุดป้องกันร่างกาย ไปจนถึงรองเท้านิรภัย โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของพนักงานและมาตรฐานการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมหรือสถานที่ทำงานต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเราจะปกป้องตนเองและเพื่อนร่วมงานได้อย่างครอบคลุม

ความสำคัญของการเลือก PPE ให้เหมาะสม

ก่อนจะลงรายละเอียดถึงวิธีการเลือกอุปกรณ์ PPE แต่ละประเภท เราควรตระหนักถึง เหตุผล และ ความสำคัญ ของการใช้อุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคลที่ถูกต้องตามลักษณะงาน ดังนี้

  1. ลดความเสี่ยงและป้องกันอันตราย
    การทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมหรือในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง เช่น งานเชื่อม งานตัด งานขัด หรืองานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมี มีโอกาสที่พนักงานจะสัมผัสกับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ การเลือก PPE ที่ถูกต้องและเหมาะสมทำให้ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ อุบัติเหตุ และโรคที่เกิดจากการทำงานได้
  2. สอดคล้องตามข้อบังคับด้านกฎหมาย
    โรงงานหรือสถานประกอบการส่วนใหญ่อยู่ภายใต้กฎหมายหรือข้อบังคับด้านความปลอดภัย เช่น พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ซึ่งกำหนดให้นายจ้างต้องจัดหาอุปกรณ์ PPE และอบรมให้พนักงานใช้งานอย่างถูกต้อง การทำตามข้อกำหนดจะช่วยลดปัญหาทางกฎหมายและรักษาภาพลักษณ์องค์กร
  3. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
    เมื่อพนักงานรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจในสภาพแวดล้อมการทำงาน ผลลัพธ์ของงานย่อมออกมาดีขึ้น ลดโอกาสผิดพลาด รวมถึงสามารถทำงานได้อย่างมีสมาธิและต่อเนื่อง

ดังนั้น ก่อนจะเลือกซื้ออุปกรณ์ PPE แต่ละประเภท นายจ้างและผู้ที่เกี่ยวข้องจึงควรทราบถึงประเภทของงาน ลักษณะอันตราย และปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้พนักงานได้ใช้งานอุปกรณ์ที่เหมาะสมอย่างแท้จริง

ประเมินความเสี่ยงและลักษณะงานก่อนเลือก PPE

การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) นับเป็นขั้นตอนสำคัญในการเลือก PPE ให้เหมาะสม โดยต้องวิเคราะห์สิ่งต่อไปนี้

  • ประเภทของอันตราย : เป็นอันตรายจากสารเคมี ความร้อน ไฟฟ้า แรงกระแทก หรือการเสียดสี เป็นต้น
  • ระดับความรุนแรง : ความรุนแรงของอันตรายมีมากน้อยเพียงใด
  • ความถี่ในการสัมผัส : พนักงานต้องสัมผัสอันตรายบ่อยแค่ไหน เวลาสัมผัสนานเท่าใด
  • ลักษณะการทำงานเฉพาะ : งานเชื่อม งานชุบโลหะ งานขนย้าย งานตัดเลเซอร์ ฯลฯ ที่ต้องการคุณสมบัติพิเศษของ PPE

เมื่อทำการประเมินครบถ้วนแล้ว ให้กำหนดว่า **PPE ประเภทใด** ต้องใช้ เพื่อให้ครอบคลุมทุกอันตรายในกระบวนการทำงาน เช่น ถุงมือที่ทนสารเคมี ชุดที่ทนไฟ หรือรองเท้าที่ป้องกันไฟฟ้าสถิต เป็นต้น

ถุงมือนิรภัย (Safety Gloves)

“ถุงมือนิรภัย หรือ ถุงมือเซฟตี้” ถือเป็นอุปกรณ์ PPE ประเภทหนึ่งที่ใช้บ่อยที่สุดในงานอุตสาหกรรม เพราะมือเป็นอวัยวะที่ต้องสัมผัสหรือทำงานกับชิ้นงานและเครื่องมือเป็นประจำ
การเลือกถุงมือควรคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้:

  1. ความทนต่อสารเคมี:
    – หากทำงานเกี่ยวข้องกับกรด เบส หรือตัวทำละลาย ควรเลือกถุงมือยางไนไตร (Nitrile) หรือเนื้อวัสดุที่ทนสารเคมีได้ตามระดับความเข้มข้นของสาร
    – หากเป็นงานที่ต้องสัมผัสน้ำมันหรือเชื้อเพลิง อาจเลือกถุงมือ PVC หรือถุงมือยางชนิดหนาที่มีสารเคลือบป้องกัน
  2. ความทนต่อการตัดหรือบาด (Cut Resistance):
    – สำหรับงานที่เกี่ยวข้องกับวัตถุมีคม เช่น งานตัดเหล็ก งานแก้ว หรืองานในครัว ควรใช้ถุงมือที่มีระดับการป้องกันการบาดสูง เช่น ถุงมือเคฟลาร์ (Kevlar) ถุงมือเหล็ก (Metal Mesh) หรือถุงมือที่มีเส้นใยสังเคราะห์หลายชั้น
  3. ความทนความร้อน (Heat Resistance):
    – ในงานเชื่อมหรืองานที่ต้องสัมผัสอุณหภูมิสูง เช่น หลอมโลหะ หรือเตาเผา ควรใช้ถุงมือหนังที่ออกแบบสำหรับงานอุณหภูมิสูงโดยเฉพาะ
  4. ความกระชับและความสะดวกในการทำงาน:
    – ถุงมือที่หนาเกินไปอาจลดความคล่องตัว
    – ถุงมือบางเกินไปอาจไม่ทนทานต่ออันตราย
    – ควรเลือกขนาดถุงมือที่พอดีกับมือผู้สวมใส่ เพื่อลดโอกาสมือหลุดหรืออันตรายอื่น ๆ

การเลือกถุงมือที่ถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันอันตราย แต่ยังช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

หมวกนิรภัย (Safety Helmet)

“หมวกนิรภัย” หรือหมวกเซฟตี้ (Hard Hat) เป็น PPE ที่จำเป็นในงานก่อสร้าง งานขุดเจาะ งานบนที่สูง หรืองานที่มีความเสี่ยงจากวัตถุตกหล่น การกระแทก หรือความเสี่ยงทางไฟฟ้า การเลือกหมวกนิรภัยให้เหมาะสมจะต้องดูปัจจัยดังนี้:

  1. มาตรฐานอุตสาหกรรม:
    – เลือกหมวกนิรภัยที่ผ่านมาตรฐานสากล เช่น ANSI, EN, หรือมาตรฐาน มอก. ซึ่งจะมีการทดสอบการรับแรงกระแทกและการเจาะทะลุ
  2. ระบบรองในหมวก (Suspension System):
    – ควรเลือกหมวกที่มีแผ่นรองในและสายรัดศีรษะที่ปรับระดับได้ง่าย รองรับแรงกระแทกได้ดี ลดโอกาสเกิดการบาดเจ็บ
  3. คุณสมบัติพิเศษ:
    – ในบางงานอาจต้องการคุณสมบัติ “ไฟฟ้าเป็นฉนวน” สำหรับงานระบบไฟฟ้า หรือคุณสมบัติกันความร้อน กันน้ำมัน กันสารเคมี เป็นต้น
  4. สีหมวกนิรภัย:
    – สีหมวกอาจบ่งบอกตำแหน่งหน้าที่หรือระดับความเสี่ยง เช่น หมวกสีขาวสำหรับวิศวกร หมวกสีเหลืองสำหรับคนงาน เพื่อให้สังเกตได้ง่ายในพื้นที่ทำงาน

แว่นตานิรภัย (Safety Glasses) และหน้ากากป้องกันใบหน้า (Face Shield)

ดวงตาเป็นอวัยวะที่บอบบางมาก การบาดเจ็บที่ดวงตาหรือใบหน้าสามารถเกิดขึ้นได้จากเศษวัสดุ กระเด็น ฝุ่น ควันสารเคมี หรือสะเก็ดโลหะขณะทำงาน การเลือกใช้แว่นตานิรภัยหรือหน้ากากป้องกันใบหน้าจึงสำคัญอย่างยิ่ง

  1. ชนิดของเลนส์:
    – ควรเลือกเลนส์ที่มีความทนทานต่อแรงกระแทก ผ่านมาตรฐาน ANSI หรือ EN
    – หากทำงานกับเลเซอร์ ควรเลือกเลนส์ที่เคลือบป้องกันแสงเลเซอร์โดยเฉพาะ
  2. การกันสารเคมีและฝุ่น:
    – เลือกแว่นตาที่มีขอบยางหรือซีลรอบ ๆ ดวงตา เพื่อลดโอกาสที่ฝุ่นหรือสารเคมีจะเข้ามาระคายเคือง
    – ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องใช้ “หน้ากากป้องกันใบหน้า (Face Shield)” ควบคู่แว่นตานิรภัย หากงานมีความเสี่ยงจากสะเก็ดหรือการกระเด็นมาก
  3. การป้องกันรังสี UV หรือความร้อน:
    – งานเชื่อมหรืองานที่มีแหล่งกำเนิดความร้อนสูง อาจต้องเลือกแว่นตาที่มีคุณสมบัติกันรังสีอินฟราเรด (IR) และรังสี UV การเลือกแว่นตานิรภัย หรือ หน้ากากป้องกันใบหน้าอย่างถูกต้องจะช่วยให้สามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยและเห็นภาพชัดเจน

อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจ (Respiratory Protection)

ในงานที่มี “ฝุ่น ควัน สารเคมี ไอระเหย” หรือแก๊สพิษ อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจมีความสำคัญอย่างมาก เช่น หน้ากากกรองฝุ่น (Dust Mask) หน้ากากกรองสารเคมี (Respirator) หรือเครื่องช่วยหายใจแบบมีระบบส่งอากาศ (Powered Air Purifying Respirator – PAPR)

การเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจควรพิจารณา:

  1. ชนิดของสารพิษ/สารเคมี:
    – หน้ากาก N95 หรือ P100 สำหรับงานที่มีฝุ่นละเอียด
    – หน้ากากกรองก๊าซ เช่น กรองไออินทรีย์ หรือกรองแก๊สพิษเฉพาะด้าน
    – ตรวจสอบว่าสารเคมีที่ใช้งานมีข้อกำหนดให้เลือกหน้ากากชนิดใด
  2. ระดับความเข้มข้นของสารพิษ:
    – หากความเข้มข้นสูงและเป็นอันตรายอย่างมาก อาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจแบบมีระบบส่งอากาศ เพื่อป้องกันการรั่วไหล
  3. ความสบายในการสวมใส่:
    – ควรเลือกหน้ากากที่กระชับโครงหน้าและมีวาล์วระบายอากาศเพื่อลดการอับชื้น

ชุดป้องกันร่างกาย (Protective Clothing)

งานบางประเภทที่มีความเสี่ยงสูง เช่น งานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมี อุณหภูมิสูง ละอองฝุ่น หรืออันตรายจากกระแสไฟฟ้า จำเป็นต้องใช้ “ชุดป้องกันร่างกาย” เพื่อปกป้องผิวหนังจากการสัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่อันตราย

  1. ชุดกันสารเคมี:
    – ควรเลือกประเภทที่ตรงกับสารเคมีที่ใช้ เช่น ชุด Tychem หรือ Tyvek สำหรับป้องกันฝุ่นและสารเคมี
    – ตรวจสอบมาตรฐาน เช่น CE Category III ที่ใช้สำหรับสารเคมีอันตราย
  2. ชุดกันความร้อนหรือเปลวไฟ:
    – เลือกวัสดุทนไฟ เช่น Nomex หรือ Kevlar สำหรับงานเชื่อม งานหลอมโลหะ หรือพื้นที่มีความเสี่ยงจากประกายไฟ
  3. ชุดป้องกันไฟฟ้าสถิต:
    – สำหรับงานในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อป้องกันกระแสไฟฟ้าสถิต (ESD) ที่อาจทำให้สินค้าเสียหาย หรือก่อให้เกิดการระเบิดได้
  4. ขนาดและการสวมใส่:
    – ชุดต้องมีขนาดเหมาะสม สวมใส่สะดวก คล่องตัว ไม่รัดหรือหลวมเกินไป
    – ตรวจสอบตะเข็บ ซิป หรือแถบปิดที่แน่นหนาเพื่อป้องกันการรั่วซึม

เลือกอุปกรณ์ PPE ให้เหมาะสม ตั้งแต่ถุงมือไปจนถึงรองเท้านิรภัย แล้วคุณจะพบว่างานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อทุกคนปลอดภัยและทำงานอย่างสบายใจ

รองเท้านิรภัย (Safety Shoes)

“รองเท้านิรภัย” หรือ “รองเท้าเซฟตี้” เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ PPE ที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในงานอุตสาหกรรมที่ต้องยกของหนัก มีเครื่องจักร หรือพื้นที่เปียกน้ำมัน สารเคมี ปัจจัยในการเลือกรองเท้านิรภัยมีดังนี้:

  1. หัวรองเท้านิรภัย (Toe Cap):
    – ควรมีหัวเหล็ก (Steel Toe) หรือวัสดุคอมโพสิต (Composite Toe) เพื่อป้องกันแรงกระแทกหรือของหนักตกใส่
    – ตรวจสอบมาตรฐานเช่น EN ISO 20345 (ป้องกันแรงกระแทกอย่างน้อย 200 จูล)
  2. พื้นรองเท้า (Outsole):
    – เลือกพื้นรองเท้าที่กันลื่น (Slip Resistance) เหมาะกับสภาพพื้นผิว เช่น พื้นเปียกน้ำมัน พื้นเรียบลื่น หรือพื้นขรุขระ
    – หากต้องทำงานในพื้นที่ที่มีเสี่ยงต่อไฟฟ้าสถิต ควรเลือกพื้นรองเท้า ESD (Electrostatic Discharge) หรือพื้นป้องกันไฟฟ้าสถิต
  3. วัสดุรองเท้า (Upper Material):
    – หนังแท้ (Leather) ทนทานและป้องกันน้ำมันได้ดี
    – วัสดุสังเคราะห์ (Synthetic) หรือไมโครไฟเบอร์ มีน้ำหนักเบาและระบายอากาศได้ดี
  4. การสวมใส่สบายและการระบายอากาศ:
    – ควรเลือกรองเท้าที่ใส่แล้วกระชับ ไม่บีบหน้าเท้าหรือส้นเท้ามากจนเกินไป
    – บางรุ่นมีแผ่นรองกันกระแทกช่วยลดความเมื่อยล้าขณะยืนหรือเดินตลอดวัน

การเลือกรองเท้านิรภัยให้เหมาะสมเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ช่วยลดอุบัติเหตุและเพิ่มความคล่องตัวให้กับพนักงาน

การบำรุงรักษาและการเก็บรักษา PPE

การมี PPE ที่ดีเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความปลอดภัย แต่การดูแลรักษาอุปกรณ์ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานตลอดเวลาก็มีความสำคัญไม่น้อย โดยมีข้อควรปฏิบัติดังนี้:

  1. ตรวจสอบสภาพก่อนใช้งาน:
    – ถุงมือมีรอยฉีกขาดหรือไม่ วัสดุสึกหรอหรือหมดสภาพหรือไม่
    – แว่นตาแตกหรือเป็นรอย จนมองเห็นไม่ชัดหรือเปล่า
    – รองเท้านิรภัยที่พื้นสึกมากเกินไป ควรเปลี่ยนใหม่ทันที
  2. ทำความสะอาดหลังใช้งาน:
    – ล้างคราบน้ำมัน หรือเศษฝุ่น สารเคมีให้สะอาด
    – ใช้น้ำยาที่เหมาะสมกับวัสดุของ PPE
  3. เก็บรักษาในที่เหมาะสม:
    – เก็บในที่แห้ง อากาศถ่ายเท ห่างไกลจากแสงแดด ความร้อน สารเคมี หรือสภาวะที่ทำให้วัสดุเสื่อมเร็ว
  4. เปลี่ยนตามระยะเวลาที่กำหนด:
    – PPE บางอย่างมีอายุการใช้งาน แม้จะยังไม่ชำรุดก็ควรเปลี่ยนเมื่อถึงกำหนด

สรุป: ลงทุนในความปลอดภัยเพื่อผลลัพธ์ระยะยาว

การเลือก “อุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล (PPE)” ให้เหมาะสมกับลักษณะงานแต่ละประเภทเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นการเลือกถุงมือที่มีคุณสมบัติป้องกันสารเคมีหรือการบาด การเลือกหมวกนิรภัยที่รับแรงกระแทกได้ดี การใช้แว่นตานิรภัยที่เหมาะกับชนิดของงาน ไปจนถึงการเลือกรองเท้านิรภัยที่ตอบโจทย์สภาพพื้นที่ การตัดสินใจที่ถูกต้องจะช่วยลดอัตราการบาดเจ็บ อุบัติเหตุ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนี้ การฝึกอบรมพนักงานให้ใช้งาน PPE อย่างถูกวิธี และมีการบำรุงรักษาอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ ก็เป็นส่วนสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร เพื่อให้ทุกคนมีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น เพราะท้ายที่สุดแล้ว การรักษาความปลอดภัยในที่ทำงานไม่ใช่เพียงหน้าที่ของฝ่ายบริหารหรือฝ่ายบุคคลเท่านั้น แต่คือความร่วมมือของทุกฝ่ายในองค์กร

เมื่อนายจ้างและพนักงานเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของการเลือกใช้อุปกรณ์ PPE อย่างเหมาะสม พร้อมทั้งปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด ก็จะช่วยให้สภาพแวดล้อมการทำงานปลอดภัยยิ่งขึ้น ลดอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น ส่งผลให้บุคลากรมีสุขภาพกายและใจที่ดี พร้อมรับมือต่อความท้าทายในการผลิตหรือการให้บริการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

สุดท้ายนี้ หวังว่าบทความนี้จะเป็นแนวทางในการวางแผนและเลือกซื้อ PPE สำหรับผู้ที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม หรือแม้แต่ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายจากสภาพแวดล้อมการทำงานในลักษณะต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ความปลอดภัยในที่ทำงานคือสิ่งสำคัญที่เราไม่ควรมองข้าม เพราะ “การป้องกันไว้ก่อน” ย่อมดีกว่า “การแก้ไขภายหลัง” เสมอ

คำแนะนำเพิ่มเติม

  • จัดอบรมหรือกิจกรรมเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้งาน PPE อย่างต่อเนื่อง
  • ให้พนักงานมีส่วนร่วมในการเลือกหรือทดสอบ PPE เพื่อให้เกิดความสะดวกและความพึงพอใจในการใช้งาน
  • จัดให้มีจุดเก็บและจุดทิ้ง PPE ที่ชำรุดหรือล้าสมัยอย่างเป็นระบบ

ด้วยขั้นตอนเหล่านี้ จะทำให้ที่ทำงานของคุณเป็นสถานที่ที่ทุกคนอยากมาทำงานโดยไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย และยังช่วยยกระดับมาตรฐานการทำงานขององค์กรขึ้นไปอีกขั้น

Back to top button