วิธีเลือกอุปกรณ์ PPE ให้เหมาะกับงานแต่ละประเภท

วิธีเลือกอุปกรณ์ PPE ให้เหมาะกับงานแต่ละประเภท ตั้งแต่การเลือกถุงมือไปจนถึงรองเท้านิรภัย เพื่อให้เหมาะกับลักษณะของงาน
ในอุตสาหกรรมการผลิต การก่อสร้าง หรือแม้แต่ในธุรกิจบริการบางประเภท “อุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล” หรือที่เรียกย่อ ๆ ว่า PPE (Personal Protective Equipment) ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บและอุบัติเหตุในที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้ PPE ที่เหมาะสมกับงานแต่ละประเภทจึงเป็นเรื่องที่ผู้ปฏิบัติงานและนายจ้างไม่ควรละเลย บทความนี้จะนำเสนอเคล็ดลับและคำแนะนำในการเลือกอุปกรณ์ PPE ตั้งแต่ถุงมือ หมวกนิรภัย แว่นตานิรภัย ชุดป้องกันร่างกาย ไปจนถึงรองเท้านิรภัย โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของพนักงานและมาตรฐานการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมหรือสถานที่ทำงานต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเราจะปกป้องตนเองและเพื่อนร่วมงานได้อย่างครอบคลุม
ความสำคัญของการเลือก PPE ให้เหมาะสม
ก่อนจะลงรายละเอียดถึงวิธีการเลือกอุปกรณ์ PPE แต่ละประเภท เราควรตระหนักถึง เหตุผล และ ความสำคัญ ของการใช้อุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคลที่ถูกต้องตามลักษณะงาน ดังนี้
- ลดความเสี่ยงและป้องกันอันตราย
การทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมหรือในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง เช่น งานเชื่อม งานตัด งานขัด หรืองานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมี มีโอกาสที่พนักงานจะสัมผัสกับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ การเลือก PPE ที่ถูกต้องและเหมาะสมทำให้ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ อุบัติเหตุ และโรคที่เกิดจากการทำงานได้ - สอดคล้องตามข้อบังคับด้านกฎหมาย
โรงงานหรือสถานประกอบการส่วนใหญ่อยู่ภายใต้กฎหมายหรือข้อบังคับด้านความปลอดภัย เช่น พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ซึ่งกำหนดให้นายจ้างต้องจัดหาอุปกรณ์ PPE และอบรมให้พนักงานใช้งานอย่างถูกต้อง การทำตามข้อกำหนดจะช่วยลดปัญหาทางกฎหมายและรักษาภาพลักษณ์องค์กร - เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
เมื่อพนักงานรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจในสภาพแวดล้อมการทำงาน ผลลัพธ์ของงานย่อมออกมาดีขึ้น ลดโอกาสผิดพลาด รวมถึงสามารถทำงานได้อย่างมีสมาธิและต่อเนื่อง
ดังนั้น ก่อนจะเลือกซื้ออุปกรณ์ PPE แต่ละประเภท นายจ้างและผู้ที่เกี่ยวข้องจึงควรทราบถึงประเภทของงาน ลักษณะอันตราย และปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้พนักงานได้ใช้งานอุปกรณ์ที่เหมาะสมอย่างแท้จริง
ประเมินความเสี่ยงและลักษณะงานก่อนเลือก PPE
การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) นับเป็นขั้นตอนสำคัญในการเลือก PPE ให้เหมาะสม โดยต้องวิเคราะห์สิ่งต่อไปนี้
- ประเภทของอันตราย : เป็นอันตรายจากสารเคมี ความร้อน ไฟฟ้า แรงกระแทก หรือการเสียดสี เป็นต้น
- ระดับความรุนแรง : ความรุนแรงของอันตรายมีมากน้อยเพียงใด
- ความถี่ในการสัมผัส : พนักงานต้องสัมผัสอันตรายบ่อยแค่ไหน เวลาสัมผัสนานเท่าใด
- ลักษณะการทำงานเฉพาะ : งานเชื่อม งานชุบโลหะ งานขนย้าย งานตัดเลเซอร์ ฯลฯ ที่ต้องการคุณสมบัติพิเศษของ PPE
เมื่อทำการประเมินครบถ้วนแล้ว ให้กำหนดว่า **PPE ประเภทใด** ต้องใช้ เพื่อให้ครอบคลุมทุกอันตรายในกระบวนการทำงาน เช่น ถุงมือที่ทนสารเคมี ชุดที่ทนไฟ หรือรองเท้าที่ป้องกันไฟฟ้าสถิต เป็นต้น
ถุงมือนิรภัย (Safety Gloves)
“ถุงมือนิรภัย หรือ ถุงมือเซฟตี้” ถือเป็นอุปกรณ์ PPE ประเภทหนึ่งที่ใช้บ่อยที่สุดในงานอุตสาหกรรม เพราะมือเป็นอวัยวะที่ต้องสัมผัสหรือทำงานกับชิ้นงานและเครื่องมือเป็นประจำ
การเลือกถุงมือควรคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้:
- ความทนต่อสารเคมี:
– หากทำงานเกี่ยวข้องกับกรด เบส หรือตัวทำละลาย ควรเลือกถุงมือยางไนไตร (Nitrile) หรือเนื้อวัสดุที่ทนสารเคมีได้ตามระดับความเข้มข้นของสาร
– หากเป็นงานที่ต้องสัมผัสน้ำมันหรือเชื้อเพลิง อาจเลือกถุงมือ PVC หรือถุงมือยางชนิดหนาที่มีสารเคลือบป้องกัน - ความทนต่อการตัดหรือบาด (Cut Resistance):
– สำหรับงานที่เกี่ยวข้องกับวัตถุมีคม เช่น งานตัดเหล็ก งานแก้ว หรืองานในครัว ควรใช้ถุงมือที่มีระดับการป้องกันการบาดสูง เช่น ถุงมือเคฟลาร์ (Kevlar) ถุงมือเหล็ก (Metal Mesh) หรือถุงมือที่มีเส้นใยสังเคราะห์หลายชั้น - ความทนความร้อน (Heat Resistance):
– ในงานเชื่อมหรืองานที่ต้องสัมผัสอุณหภูมิสูง เช่น หลอมโลหะ หรือเตาเผา ควรใช้ถุงมือหนังที่ออกแบบสำหรับงานอุณหภูมิสูงโดยเฉพาะ - ความกระชับและความสะดวกในการทำงาน:
– ถุงมือที่หนาเกินไปอาจลดความคล่องตัว
– ถุงมือบางเกินไปอาจไม่ทนทานต่ออันตราย
– ควรเลือกขนาดถุงมือที่พอดีกับมือผู้สวมใส่ เพื่อลดโอกาสมือหลุดหรืออันตรายอื่น ๆ
การเลือกถุงมือที่ถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันอันตราย แต่ยังช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
หมวกนิรภัย (Safety Helmet)
“หมวกนิรภัย” หรือหมวกเซฟตี้ (Hard Hat) เป็น PPE ที่จำเป็นในงานก่อสร้าง งานขุดเจาะ งานบนที่สูง หรืองานที่มีความเสี่ยงจากวัตถุตกหล่น การกระแทก หรือความเสี่ยงทางไฟฟ้า การเลือกหมวกนิรภัยให้เหมาะสมจะต้องดูปัจจัยดังนี้:
- มาตรฐานอุตสาหกรรม:
– เลือกหมวกนิรภัยที่ผ่านมาตรฐานสากล เช่น ANSI, EN, หรือมาตรฐาน มอก. ซึ่งจะมีการทดสอบการรับแรงกระแทกและการเจาะทะลุ - ระบบรองในหมวก (Suspension System):
– ควรเลือกหมวกที่มีแผ่นรองในและสายรัดศีรษะที่ปรับระดับได้ง่าย รองรับแรงกระแทกได้ดี ลดโอกาสเกิดการบาดเจ็บ - คุณสมบัติพิเศษ:
– ในบางงานอาจต้องการคุณสมบัติ “ไฟฟ้าเป็นฉนวน” สำหรับงานระบบไฟฟ้า หรือคุณสมบัติกันความร้อน กันน้ำมัน กันสารเคมี เป็นต้น - สีหมวกนิรภัย:
– สีหมวกอาจบ่งบอกตำแหน่งหน้าที่หรือระดับความเสี่ยง เช่น หมวกสีขาวสำหรับวิศวกร หมวกสีเหลืองสำหรับคนงาน เพื่อให้สังเกตได้ง่ายในพื้นที่ทำงาน
แว่นตานิรภัย (Safety Glasses) และหน้ากากป้องกันใบหน้า (Face Shield)
ดวงตาเป็นอวัยวะที่บอบบางมาก การบาดเจ็บที่ดวงตาหรือใบหน้าสามารถเกิดขึ้นได้จากเศษวัสดุ กระเด็น ฝุ่น ควันสารเคมี หรือสะเก็ดโลหะขณะทำงาน การเลือกใช้แว่นตานิรภัยหรือหน้ากากป้องกันใบหน้าจึงสำคัญอย่างยิ่ง
- ชนิดของเลนส์:
– ควรเลือกเลนส์ที่มีความทนทานต่อแรงกระแทก ผ่านมาตรฐาน ANSI หรือ EN
– หากทำงานกับเลเซอร์ ควรเลือกเลนส์ที่เคลือบป้องกันแสงเลเซอร์โดยเฉพาะ - การกันสารเคมีและฝุ่น:
– เลือกแว่นตาที่มีขอบยางหรือซีลรอบ ๆ ดวงตา เพื่อลดโอกาสที่ฝุ่นหรือสารเคมีจะเข้ามาระคายเคือง
– ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องใช้ “หน้ากากป้องกันใบหน้า (Face Shield)” ควบคู่แว่นตานิรภัย หากงานมีความเสี่ยงจากสะเก็ดหรือการกระเด็นมาก - การป้องกันรังสี UV หรือความร้อน:
– งานเชื่อมหรืองานที่มีแหล่งกำเนิดความร้อนสูง อาจต้องเลือกแว่นตาที่มีคุณสมบัติกันรังสีอินฟราเรด (IR) และรังสี UV การเลือกแว่นตานิรภัย หรือ หน้ากากป้องกันใบหน้าอย่างถูกต้องจะช่วยให้สามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยและเห็นภาพชัดเจน
อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจ (Respiratory Protection)
ในงานที่มี “ฝุ่น ควัน สารเคมี ไอระเหย” หรือแก๊สพิษ อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจมีความสำคัญอย่างมาก เช่น หน้ากากกรองฝุ่น (Dust Mask) หน้ากากกรองสารเคมี (Respirator) หรือเครื่องช่วยหายใจแบบมีระบบส่งอากาศ (Powered Air Purifying Respirator – PAPR)
การเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจควรพิจารณา:
- ชนิดของสารพิษ/สารเคมี:
– หน้ากาก N95 หรือ P100 สำหรับงานที่มีฝุ่นละเอียด
– หน้ากากกรองก๊าซ เช่น กรองไออินทรีย์ หรือกรองแก๊สพิษเฉพาะด้าน
– ตรวจสอบว่าสารเคมีที่ใช้งานมีข้อกำหนดให้เลือกหน้ากากชนิดใด - ระดับความเข้มข้นของสารพิษ:
– หากความเข้มข้นสูงและเป็นอันตรายอย่างมาก อาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจแบบมีระบบส่งอากาศ เพื่อป้องกันการรั่วไหล - ความสบายในการสวมใส่:
– ควรเลือกหน้ากากที่กระชับโครงหน้าและมีวาล์วระบายอากาศเพื่อลดการอับชื้น
ชุดป้องกันร่างกาย (Protective Clothing)
งานบางประเภทที่มีความเสี่ยงสูง เช่น งานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมี อุณหภูมิสูง ละอองฝุ่น หรืออันตรายจากกระแสไฟฟ้า จำเป็นต้องใช้ “ชุดป้องกันร่างกาย” เพื่อปกป้องผิวหนังจากการสัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่อันตราย
- ชุดกันสารเคมี:
– ควรเลือกประเภทที่ตรงกับสารเคมีที่ใช้ เช่น ชุด Tychem หรือ Tyvek สำหรับป้องกันฝุ่นและสารเคมี
– ตรวจสอบมาตรฐาน เช่น CE Category III ที่ใช้สำหรับสารเคมีอันตราย - ชุดกันความร้อนหรือเปลวไฟ:
– เลือกวัสดุทนไฟ เช่น Nomex หรือ Kevlar สำหรับงานเชื่อม งานหลอมโลหะ หรือพื้นที่มีความเสี่ยงจากประกายไฟ - ชุดป้องกันไฟฟ้าสถิต:
– สำหรับงานในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อป้องกันกระแสไฟฟ้าสถิต (ESD) ที่อาจทำให้สินค้าเสียหาย หรือก่อให้เกิดการระเบิดได้ - ขนาดและการสวมใส่:
– ชุดต้องมีขนาดเหมาะสม สวมใส่สะดวก คล่องตัว ไม่รัดหรือหลวมเกินไป
– ตรวจสอบตะเข็บ ซิป หรือแถบปิดที่แน่นหนาเพื่อป้องกันการรั่วซึม
เลือกอุปกรณ์ PPE ให้เหมาะสม ตั้งแต่ถุงมือไปจนถึงรองเท้านิรภัย แล้วคุณจะพบว่างานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อทุกคนปลอดภัยและทำงานอย่างสบายใจ
รองเท้านิรภัย (Safety Shoes)
“รองเท้านิรภัย” หรือ “รองเท้าเซฟตี้” เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ PPE ที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในงานอุตสาหกรรมที่ต้องยกของหนัก มีเครื่องจักร หรือพื้นที่เปียกน้ำมัน สารเคมี ปัจจัยในการเลือกรองเท้านิรภัยมีดังนี้:
- หัวรองเท้านิรภัย (Toe Cap):
– ควรมีหัวเหล็ก (Steel Toe) หรือวัสดุคอมโพสิต (Composite Toe) เพื่อป้องกันแรงกระแทกหรือของหนักตกใส่
– ตรวจสอบมาตรฐานเช่น EN ISO 20345 (ป้องกันแรงกระแทกอย่างน้อย 200 จูล) - พื้นรองเท้า (Outsole):
– เลือกพื้นรองเท้าที่กันลื่น (Slip Resistance) เหมาะกับสภาพพื้นผิว เช่น พื้นเปียกน้ำมัน พื้นเรียบลื่น หรือพื้นขรุขระ
– หากต้องทำงานในพื้นที่ที่มีเสี่ยงต่อไฟฟ้าสถิต ควรเลือกพื้นรองเท้า ESD (Electrostatic Discharge) หรือพื้นป้องกันไฟฟ้าสถิต - วัสดุรองเท้า (Upper Material):
– หนังแท้ (Leather) ทนทานและป้องกันน้ำมันได้ดี
– วัสดุสังเคราะห์ (Synthetic) หรือไมโครไฟเบอร์ มีน้ำหนักเบาและระบายอากาศได้ดี - การสวมใส่สบายและการระบายอากาศ:
– ควรเลือกรองเท้าที่ใส่แล้วกระชับ ไม่บีบหน้าเท้าหรือส้นเท้ามากจนเกินไป
– บางรุ่นมีแผ่นรองกันกระแทกช่วยลดความเมื่อยล้าขณะยืนหรือเดินตลอดวัน
การเลือกรองเท้านิรภัยให้เหมาะสมเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ช่วยลดอุบัติเหตุและเพิ่มความคล่องตัวให้กับพนักงาน
การบำรุงรักษาและการเก็บรักษา PPE
การมี PPE ที่ดีเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความปลอดภัย แต่การดูแลรักษาอุปกรณ์ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานตลอดเวลาก็มีความสำคัญไม่น้อย โดยมีข้อควรปฏิบัติดังนี้:
- ตรวจสอบสภาพก่อนใช้งาน:
– ถุงมือมีรอยฉีกขาดหรือไม่ วัสดุสึกหรอหรือหมดสภาพหรือไม่
– แว่นตาแตกหรือเป็นรอย จนมองเห็นไม่ชัดหรือเปล่า
– รองเท้านิรภัยที่พื้นสึกมากเกินไป ควรเปลี่ยนใหม่ทันที - ทำความสะอาดหลังใช้งาน:
– ล้างคราบน้ำมัน หรือเศษฝุ่น สารเคมีให้สะอาด
– ใช้น้ำยาที่เหมาะสมกับวัสดุของ PPE - เก็บรักษาในที่เหมาะสม:
– เก็บในที่แห้ง อากาศถ่ายเท ห่างไกลจากแสงแดด ความร้อน สารเคมี หรือสภาวะที่ทำให้วัสดุเสื่อมเร็ว - เปลี่ยนตามระยะเวลาที่กำหนด:
– PPE บางอย่างมีอายุการใช้งาน แม้จะยังไม่ชำรุดก็ควรเปลี่ยนเมื่อถึงกำหนด
สรุป: ลงทุนในความปลอดภัยเพื่อผลลัพธ์ระยะยาว
การเลือก “อุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล (PPE)” ให้เหมาะสมกับลักษณะงานแต่ละประเภทเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นการเลือกถุงมือที่มีคุณสมบัติป้องกันสารเคมีหรือการบาด การเลือกหมวกนิรภัยที่รับแรงกระแทกได้ดี การใช้แว่นตานิรภัยที่เหมาะกับชนิดของงาน ไปจนถึงการเลือกรองเท้านิรภัยที่ตอบโจทย์สภาพพื้นที่ การตัดสินใจที่ถูกต้องจะช่วยลดอัตราการบาดเจ็บ อุบัติเหตุ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้ การฝึกอบรมพนักงานให้ใช้งาน PPE อย่างถูกวิธี และมีการบำรุงรักษาอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ ก็เป็นส่วนสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร เพื่อให้ทุกคนมีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น เพราะท้ายที่สุดแล้ว การรักษาความปลอดภัยในที่ทำงานไม่ใช่เพียงหน้าที่ของฝ่ายบริหารหรือฝ่ายบุคคลเท่านั้น แต่คือความร่วมมือของทุกฝ่ายในองค์กร
เมื่อนายจ้างและพนักงานเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของการเลือกใช้อุปกรณ์ PPE อย่างเหมาะสม พร้อมทั้งปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด ก็จะช่วยให้สภาพแวดล้อมการทำงานปลอดภัยยิ่งขึ้น ลดอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น ส่งผลให้บุคลากรมีสุขภาพกายและใจที่ดี พร้อมรับมือต่อความท้าทายในการผลิตหรือการให้บริการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
สุดท้ายนี้ หวังว่าบทความนี้จะเป็นแนวทางในการวางแผนและเลือกซื้อ PPE สำหรับผู้ที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม หรือแม้แต่ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายจากสภาพแวดล้อมการทำงานในลักษณะต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ความปลอดภัยในที่ทำงานคือสิ่งสำคัญที่เราไม่ควรมองข้าม เพราะ “การป้องกันไว้ก่อน” ย่อมดีกว่า “การแก้ไขภายหลัง” เสมอ
คำแนะนำเพิ่มเติม
- จัดอบรมหรือกิจกรรมเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้งาน PPE อย่างต่อเนื่อง
- ให้พนักงานมีส่วนร่วมในการเลือกหรือทดสอบ PPE เพื่อให้เกิดความสะดวกและความพึงพอใจในการใช้งาน
- จัดให้มีจุดเก็บและจุดทิ้ง PPE ที่ชำรุดหรือล้าสมัยอย่างเป็นระบบ
ด้วยขั้นตอนเหล่านี้ จะทำให้ที่ทำงานของคุณเป็นสถานที่ที่ทุกคนอยากมาทำงานโดยไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย และยังช่วยยกระดับมาตรฐานการทำงานขององค์กรขึ้นไปอีกขั้น