รู้จัก : พรบ. ความปลอดภัย อาชีวอนามัยฯในการทำงาน พ.ศ. 2554

พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554
ประเทศไทยให้ความสำคัญกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานมาอย่างยาวนาน โดยมีหน่วยงานหลักอย่างกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (Department of Labour Protection and Welfare) เป็นผู้ดูแล ออกมาตรการ กฎหมาย และกฎกระทรวงต่าง ๆ เพื่อคุ้มครองลูกจ้าง ตลอดจนกำหนดให้สถานประกอบกิจการรวมถึงโรงงานอุตสาหกรรมปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยอย่างเคร่งครัด
กฎหมายสำคัญที่โรงงานอุตสาหกรรมและองค์กรต่าง ๆ ต้องถือปฏิบัติ คือ พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 ซึ่งเป็นกฎหมายหลักที่ยังคงมีผลบังคับใช้ (ยังไม่ถูกยกเลิก) กฎหมายฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาความปลอดภัยในการทำงาน ป้องกันอุบัติเหตุ ลดความเสี่ยง และสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยภายในองค์กร
บทความนี้จะสรุปสาระสำคัญของ พ.ร.บ. ความปลอดภัยฯ พ.ศ. 2554 และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกฎหมายที่กลุ่มในโรงงานอุตสาหกรรมใช้บ่อย ๆ และยังมีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้องค์กร นายจ้าง รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องในทุกภาคอุตสาหกรรมทราบแนวทางและข้อกำหนดที่ต้องปฏิบัติ
1. ภาพรวมของพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554
ความเป็นมา
พ.ร.บ. ฉบับนี้ประกาศใช้เพื่อรวบรวมและปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในการทำงาน ให้มีความทันสมัยและทันต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปของอุตสาหกรรมไทย ยกระดับมาตรฐานด้านอาชีวอนามัย เพื่อคุ้มครองแรงงาน ลดอุบัติเหตุ และรักษาสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีต่อสุขภาพของลูกจ้าง
นิยามและขอบเขต
- สถานประกอบกิจการ หมายถึง สถานที่ที่มีการจ้างงานบุคคลเพื่อปฏิบัติงาน ไม่ว่าจะในภาคการผลิต โรงงานอุตสาหกรรม การบริการ หรือธุรกิจอื่น ๆ
- นายจ้าง หมายถึง เจ้าของกิจการ ผู้ดำเนินกิจการ หรือผู้มีอำนาจในการบริหารงานที่สามารถว่าจ้างบุคคลให้เข้ามาทำงานได้
- ลูกจ้าง หมายถึง ผู้ที่ถูกจ้างให้ทำงานไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ทั้งพนักงานชั่วคราว พนักงานประจำ หรือพนักงานสัญญาจ้าง
ขอบเขตของ พ.ร.บ. นี้ครอบคลุมสถานประกอบกิจการทุกประเภทที่มีการว่าจ้างลูกจ้างตั้งแต่หนึ่งคนขึ้นไป
หลักการสำคัญ
-
- นายจ้างต้องกำหนดนโยบายความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ประกาศให้ทุกคนภายในองค์กรรับทราบ และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
- ต้องมีการกำหนดมาตรการป้องกันอุบัติเหตุ วางระบบบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management) และมีการประเมิน ปรับปรุง แก้ไขให้สอดคล้องกับสภาพการทำงานจริง
- ลูกจ้างมีหน้าที่ร่วมมือ รักษาความปลอดภัย แจ้งเตือนความเสี่ยง และปฏิบัติตามข้อบังคับด้านความปลอดภัยตลอดเวลา
2. หน้าที่และความรับผิดชอบของนายจ้าง
- จัดทำนโยบายความปลอดภัย
นายจ้างมีหน้าที่จัดทำนโยบายความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน แสดงเป้าหมาย และให้เห็นความสำคัญของความปลอดภัยอย่างชัดเจน โดยนโยบายต้องประกาศเป็นลายลักษณ์อักษร ติดประกาศในสถานประกอบกิจการ และสื่อสารให้ลูกจ้างรับทราบอย่างทั่วถึง - แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (จป.)
- จป. ระดับหัวหน้างาน: สำหรับสถานประกอบกิจการขนาดเล็ก หรือบางประเภทงาน
- จป. เทคนิค/เทคนิคขั้นสูง: สำหรับสถานประกอบกิจการที่มีลักษณะเสี่ยงสูง ต้องใช้เจ้าหน้าที่ระดับมืออาชีพในการควบคุมและประเมินความเสี่ยง
- จป. วิชาชีพ: สำหรับสถานประกอบกิจการขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ หรือโรงงานอุตสาหกรรมที่มีกฎหมายกำหนดให้ต้องมีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยวิชาชีพมาบริหารจัดการโดยเฉพาะ
การแต่งตั้ง จป. เหล่านี้เป็นไปตามกฎกระทรวงที่ออกโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ. ความปลอดภัยฯ ซึ่งแต่ละระดับจะมีขอบเขตภารกิจและความรับผิดชอบแตกต่างกัน
- จัดให้มีการฝึกอบรม
นายจ้างต้องส่งเสริมให้ลูกจ้างได้ผ่านการฝึกอบรมเพื่อให้เกิดความตระหนักและเรียนรู้วิธีการทำงานที่ปลอดภัย ทั้งในกระบวนการผลิต การใช้อุปกรณ์ เครื่องจักร รวมถึงการใช้งานสารเคมี (ถ้ามี) เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและอันตรายที่อาจเกิดขึ้น - จัดหาอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล (PPE)
องค์กรต้องจัดหาและบังคับใช้ให้พนักงานสวมใส่อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล เช่น หมวกนิรภัย แว่นตานิรภัย ถุงมือ รองเท้าเซฟตี้ ตามความเหมาะสมกับลักษณะงาน เพื่อลดความเสี่ยงและการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ - ตรวจสอบสภาพแวดล้อมในการทำงาน
นายจ้างต้องจัดให้มีการตรวจวัดสภาพแวดล้อมในการทำงาน เช่น ความเข้มข้นของสารเคมี ปริมาณฝุ่นในอากาศ เสียงดัง ความร้อน หรืออื่น ๆ ตามมาตรฐานและระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด รวมถึงมีการบำรุงรักษาเครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือ ให้มีสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ - สร้างระบบรายงานอุบัติเหตุและสอบสวนสาเหตุ
เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือเหตุฉุกเฉินในสถานประกอบกิจการ นายจ้างต้องดำเนินการสอบสวนสาเหตุและรายงานตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด เพื่อปรับปรุงมาตรการความปลอดภัยให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต
3. หน้าที่และความรับผิดชอบของลูกจ้าง
- ลูกจ้างต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานอย่างเคร่งครัด
- สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล (PPE) ทุกครั้งที่ทำงานตามประเภทของงานที่กำหนด
- รายงานและแจ้งเตือนนายจ้างหากพบอันตรายหรือสิ่งผิดปกติที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ
- หากไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความปลอดภัย ลูกจ้างอาจถูกลงโทษทางวินัยตามข้อบังคับการทำงาน
4. คณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
ในสถานประกอบกิจการบางประเภทหรือบางขนาด (โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรมที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป หรือตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด) ต้องจัดตั้ง คปอ (คณะกรรมการความปลอดภัยฯ) ขึ้นโดยมีองค์ประกอบจากตัวแทนนายจ้าง ตัวแทนลูกจ้าง และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยร่วมเป็นกรรมการ
หน้าที่หลักของคณะกรรมการชุดนี้ ได้แก่
- ประสานงานและกำหนดนโยบายด้านความปลอดภัย เพื่อประสานให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
- จัดทำแผนงาน ตรวจติดตาม ประเมินผลด้านความปลอดภัยในการทำงาน
- วิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงในสถานประกอบกิจการ ตลอดจนเสนอแนะมาตรการป้องกันหรือแก้ไขต่อผู้บริหาร
บทลงโทษหากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
ทางปกครอง
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานอาจสั่งให้นายจ้างปรับปรุง แก้ไข หรือระงับการดำเนินงานของสถานประกอบกิจการบางส่วน หรือทั้งหมด ถ้าพบว่ามีการละเมิดกฎหมายความปลอดภัยและก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพของลูกจ้าง
ทางอาญา
หากนายจ้างไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ความปลอดภัยฯ หรือกฎกระทรวง อาจมีโทษปรับ หรือจำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของการละเมิดและผลกระทบที่เกิดขึ้น
- ในกรณีที่มีการบาดเจ็บสาหัส หรือเสียชีวิต อาจถูกพิจารณาความผิดฐานประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายหรือได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา
ทางแพ่ง
-
- นายจ้างอาจถูกฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทน หากลูกจ้างได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต หรือสูญเสียทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการละเมิดหน้าที่ด้านความปลอดภัย
บทสรุป
กฎหมายด้านความปลอดภัยในการทำงานของประเทศไทย โดยเฉพาะ พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 เป็นพื้นฐานสำคัญที่นายจ้างและลูกจ้างต้องร่วมมือกันปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ซึ่งในภาคอุตสาหกรรมหรือโรงงานอุตสาหกรรม กฎหมายนี้พร้อมกฎกระทรวง ประกาศกระทรวงแรงงาน และข้อกำหนดด้านความปลอดภัยอื่น ๆ ล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน คือป้องกันอุบัติเหตุ ลดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นมิตรต่อสุขภาพ
การปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยไม่ใช่เพียงแค่การหลีกเลี่ยงบทลงโทษทางกฎหมาย หากแต่เป็นการลงทุนระยะยาวด้านทรัพยากรมนุษย์และทรัพย์สินขององค์กร เพราะหากโรงงานมีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัย จะช่วยสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่พนักงาน ลดอัตราการขาดงานและแรงงานหมุนเวียน เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต และเป็นภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรในสายตาของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ดังนั้น นายจ้าง ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรม และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ควรศึกษาและติดตามกฎหมายด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานอยู่เสมอ จัดให้มีการนำไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด สร้างทีมงานหรือคณะกรรมการความปลอดภัยที่เข้มแข็ง และปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเหนือสิ่งอื่นใด เมื่อทุกคนตระหนักและร่วมมือกัน สุดท้ายแล้วจะเกิดผลดีทั้งต่อพนักงาน องค์กร และภาพรวมของอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืน